เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารหมายเลข 14224 เพื่อประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของสหรัฐอเมริกา และเพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหารหมายเลข 13166 ซึ่งเป็นคำสั่งที่ออกโดยประธานาธิบดีคลินตันในปีค.ศ. 2000 เพื่อการปรับปรุงระบบการเข้าถึงบริการสำหรับบุคคลที่ใช้ภาษาอังกฤษได้จำกัด
สิทธิด้านภาษาได้รับการฝังรากลึกในกฎหมายของรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐที่บังคับใช้มายาวนาน ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลและส่วนรวม ตลอดจนการทำให้แน่ใจว่าชุมชนทั้งหมดไม่ว่าจะใช้ภาษาอะไรก็สามารถมีส่วนร่วมและมีส่วนสนับสนุนต่อสังคมที่เจริญรุ่งเรืองได้ แม้ว่ากฎหมายของรัฐบาลกลางและรัฐที่มีอยู่เหล่านี้จะไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ แต่คำสั่งดังกล่าวคุกคามความก้าวหน้ากว่าสองทศวรรษในการเข้าถึงภาษาที่มีความสำคัญสำหรับทุกคน
องค์กรกฎหมายชุมชนเอเชีย (Asian Law Caucus) องค์กรเพื่อช่วยเหลือทางกฎหมายในชนบทของแคลิฟอร์เนีย (California Rural Legal Assistance, Inc. หรือ CRLA) และสำนักงานกฎหมายลีกั้ล เอด ฟาวเดชั่น ณ นครลอสแอนเจลิส (Legal Aid Foundation of Los Angeles หรือ LAFLA) ได้สร้างรายการคำถาม – คำตอบที่พบบ่อยนี้เพื่อช่วยให้กลุ่มชุมชนและเจ้าหน้าที่ระดับรัฐและท้องถิ่นเข้าใจถึงขอบเขตและผลกระทบของคำสั่งฝ่ายบริหาร 14224 ของทรัมป์ เราจะทำการอัปเดตหน้านี้เรื่อยๆในระหว่างที่เราวิเคราะห์ว่าหน่วยงานของรัฐบาลกลางตอบสนองต่อคำสั่งนี้อย่างไร
รายการคำถาม – คำตอบที่พบบ่อยนี้สามารถให้คำแนะนำทั่วไปเท่านั้น และท่านไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำทางกฎหมาย ข้อมูลในเอกสารนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา หากองค์กรของท่านต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมาย หรือหากท่านมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้ โปรดติดต่อ:
- องค์กรกฎหมายชุมชนเอเชีย (Asian Law Caucus) หมายเลข 415-896-1701 หรือ asianlawcaucus.org/contact
- องค์กรเพื่อช่วยเหลือทางกฎหมายในชนบทของแคลิฟอร์เนีย (California Rural Legal Assistance, Inc.) หมายเลข 1-800-337-0690 หรือ https://crla.org/locations
- สำนักงานกฎหมายลีกั้ล เอด ฟาวเดชั่น ณ นครลอสแอนเจลิส (Legal Aid Foundation of Los Angeles) หมายเลข 1-800-399-4529 หรือ https://lafla.org/get-help
รายการคำถาม – คำตอบที่พบบ่อย
คำสั่งฝ่ายบริหาร 14224 เกี่ยวกับภาษาอังกฤษในฐานะภาษาราชการของสหรัฐอเมริกามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
คำสั่งดังกล่าวประกาศให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหรัฐอเมริกา คำสั่งดังกล่าวยังเพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหาร 13166 ซึ่งเป็นคำสั่งฝ่ายบริหารที่ลงนามโดยประธานาธิบดีคลินตันในปีค.ศ. 2000 อีกด้วย
คำสั่งฝ่ายบริหาร 13166 ของประธานาธิบดีคลินตันกำหนดให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางต้องพัฒนาและดำเนินการตามแผนงานเพื่อให้บุคคลที่ใช้ภาษาอังกฤษได้จำกัดสามารถเข้าถึงโปรแกรมและกิจกรรมที่รัฐบาลกลางดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำสั่งของคลินตันยังกำหนดให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางออกแนวทางการเข้าถึงบริการด้านภาษาสำหรับหน่วยงานที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลาง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะเข้าถึงบริการด้านต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำสั่งฝ่ายบริหาร 14224 ของทรัมป์กำหนดให้อัยการสูงสุดต้องถอนเอกสารแนวทางนโยบายใดๆ ที่ออกภายใต้คำสั่งฝ่ายบริหาร 13166 และให้ “แนวทางที่ปรับปรุงแก้ไข” แต่ไม่ได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางหรือหน่วยงานที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลางหยุดการสนับสนุนบริการด้านภาษาที่มีอยู่เดิมให้กับผู้ที่ใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ คำสั่งฝ่ายบริหารระบุว่า “ไม่มีข้อความใดในคำสั่งนี้ที่บังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงบริการที่จัดทำโดยหน่วยงานใดๆ” และหน่วยงานต่างๆ “ไม่จำเป็นต้องแก้ไข ลบ หรือหยุดการผลิตเอกสาร ผลิตภัณฑ์ หรือบริการอื่นๆที่จัดทำหรือเสนอในภาษาอื่นๆ นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ”
อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูกันต่อไปว่าหน่วยงานของรัฐบาลกลางจะเลือกใช้วิจารณญาณของตนเองในการเปลี่ยนแปลงหรือลดจำนวนการสนับสนุนด้านภาษาที่มอบให้กับบุคคลที่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษจำกัด หรือจะออกคำแนะนำการเข้าถึงบริการด้านภาษา “ฉบับปรับปรุง” ที่แตกต่างอย่างมากจากคำแนะนำก่อนหน้านี้หรือไม่
การที่ภาษาอังกฤษถูกเลือกให้เป็นภาษาราชการของสหรัฐอเมริกามีผลกระทบอย่างไร
สหรัฐอเมริกามีภาษาต่างๆมากกว่า 350 ภาษา โดยมีผู้คนใช้ภาษาเหล่านั้นมากกว่า 69 ล้านคนทั่วประเทศ โรงเรียน ศูนย์การแพทย์ ศาล และหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ในทุกระดับจัดเตรียมทรัพยากรและบริการในหลายภาษาในทุกๆวัน สุขภาพที่ดีของบุคคลและส่วนรวม ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดี ขึ้นอยู่กับการทำให้แน่ใจว่ามีการสื่อสารที่มีประสิทธิผลกับชุมชนทั้งหมดของเรา และการเข้าถึงบริการด้านภาษานั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
แม้จะมีคำสั่งฝ่ายบริหาร 14224 ของทรัมป์และไม่มีคำสั่งฝ่ายบริหาร 13166 อีกต่อไป แต่การเข้าถึงบริการด้านภาษาเป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนด คำสั่งฝ่ายบริหารไม่สามารถยกเลิกกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่ได้
นอกจากนี้ ทุกๆคนในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะมาจากที่ใด มีความสามารถทางภาษาอังกฤษระดับใด หรือมีสถานะการเข้าเมืองแบบใดก็ตาม ล้วนได้รับการคุ้มครองไม่ให้ถูกเลือกปฏิบัติจากเชื้อชาติ รวมถึงภาษาด้วย กฎหมายของรัฐบาลกลางและของมลรัฐยังคงกำหนดให้ต้องมีการแปลภาษามือสำหรับผู้หูหนวกและผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยิน
เราควรร่วมกันตรวจสอบและบังคับใช้สิทธิของเราภายใต้กฎหมายและข้อบังคับการเข้าถึงบริการด้านภาษาที่กำลังดำเนินอยู่นี้ตามความจำเป็น
มีตัวอย่างกฎหมายและข้อบังคับใดบ้างที่กำหนดให้มีบริการเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการในภาษาที่ถนัด แม้จะมีคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่นี้ก็ตาม
ลักษณะ 6 ของกฎหมายสิทธิพลเมืองสหรัฐฯปีค.ศ. 1964 (Title VI of the Civil Rights Act of 1964) ห้ามผู้รับเงินทุนของรัฐบาลกลางเลือกปฏิบัติเพราะ “เชื้อชาติ” ซึ่งศาลฎีกาเคยตีความไว้ว่ารวมถึงการเลือกปฏิบัติเพราะภาษาด้วย ลักษณะ 6 ของกฎหมายสิทธิพลเมืองสหรัฐฯยังระบุถึงสถานการณ์ต่างๆที่ต้องให้บริการด้านภาษาอีกด้วย
มาตรา 504 ของกฎหมายการฟื้นฟูสมรรถภาพปีค.ศ. 1973 (Section 504 of the 1973 Rehabilitation Act) และกฎหมายคุ้มครองผู้พิการแห่งอเมริกา (Americans with Disabilities Act หรือ ADA) กำหนดให้ต้องมีบริการล่ามภาษามือสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกอื่นๆ
กฎหมายของรัฐบาลกลางอื่นๆที่กำหนดให้ต้องมีการเข้าถึงภาษาโดยใช้บริบทเป็นฐาน รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง:
- รัฐบัญญัติควบคุมอาชญากรรมและความปลอดภัยบนท้องถนนปีค.ศ. 1968 (Omnibus Crime Control and Safe Streets Act of 1968) (หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ศาล)
- มาตรา 1557 ของรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการดูแลที่จ่ายได้หรือโอบามาแคร์ (Affordable Care Act) (โรงพยาบาล คลินิกสุขภาพ ผู้ให้บริการประกันสุขภาพ หน่วยงานเมดิเคด (Medicaid) ของรัฐ ศูนย์สุขภาพชุมชน สถานพยาบาลเอกชน และหน่วยงานผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน โปรดดูเพิ่มเติมที่นี่)
- กฎหมายแสตมป์อาหาร (Food Stamp Act) (หน่วยงานของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นที่บริหารจัดการสวัสดิการฟู้ดแสตมป์หรือ SNAP)
- รัฐบัญญัตินวัตกรรมแรงงานและโอกาส (Workforce Innovation and Opportunity Act) (หน่วยงานของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นที่บริหารจัดการสวัสดิการประกันการว่างงาน)
- มาตรา 203 ของรัฐบัญญัติสิทธิในการลงคะแนนเสียง (Voting Rights Act) (เอกสารการเลือกตั้ง)
- รัฐบัญญัติการเคหะที่เป็นธรรม (Fair Housing Act) (หน่วยงานของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นที่บังคับใช้กฎหมายการเคหะที่เป็นธรรม)
- รัฐบัญญัติโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมปีค.ศ. 1974 (Equal Educational Opportunities Act) (โรงเรียน/การจัดการเรียนรู้โดยใช้บริบทเป็นฐาน โปรดดูเพิ่มเติมที่นี่)
- กฎหมายการจัดการภัยพิบัติ (Stafford Act) (หน่วยงานจัดการภัยพิบัติแห่งรัฐบาลกลางหรือ FEMA โปรดดูเพิ่มเติมที่นี่)
กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติของรัฐและข้อกำหนดการเข้าถึงบริการด้านภาษา มีผลบังคับใช้กับหน่วยงานในท้องถิ่นและของรัฐ รวมถึงผู้ให้บริการบางราย
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางได้สร้างแผนและนโยบายการเข้าถึงบริการด้านภาษาที่หยั่งรากลึกตามกฎหมายของรัฐบาลกลางและการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน
คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ส่งผลต่อผู้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลาง เช่น ศาลท้องถิ่น โรงเรียน และโรงพยาบาลอย่างไร
ผู้รับเงินทุนของรัฐบาลกลาง อาจรวมถึงมลรัฐและเทศบาล ศาลของรัฐ โรงพยาบาลและสถานพยาบาลเอกชน หน่วยงานของรัฐและท้องถิ่นที่บริหารสวัสดิการสาธารณะ และโรงเรียนของรัฐ ผู้รับเงินทุนของรัฐบาลกลางทั้งหมดต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่และจัดให้มีการเข้าถึงบริการด้านภาษา ดังที่ระบุไว้ข้างต้น มีกฎหมายและข้อบังคับมากมายที่ยังคงกำหนดให้เข้าถึงบริการด้านภาษาได้ เช่น การแปลเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร บริการล่ามแปลภาษา และบริการล่ามภาษามือ และประกาศที่ให้คำแนะนำแก่สมาชิกชุมชนเกี่ยวกับวิธีเข้าถึงบริการด้านภาษา คำสั่งของฝ่ายบริหารไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่มีอยู่ได้อย่างถูกต้อง
ในขณะที่เราติดตามดูว่าหน่วยงานของรัฐบาลกลางตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร รัฐบาลท้องถิ่นและมลรัฐ และหน่วยงานที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลาง รวมถึงเขตโรงเรียนและโรงพยาบาล สามารถทำหน้าที่เป็นที่พึ่ง เป็นแหล่งความมั่นคงและความปลอดภัยสำหรับประชาชนได้ โดยยืนยันถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการให้บริการหลายภาษา ผู้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลางบางราย เช่น ศาลยุติธรรมแห่งรัฐฮาวาย ได้ยืนยันความมุ่งมั่นในการรับรองการเข้าถึงภาษาอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
ประชาชนยังสามารถขอล่ามหรือเอกสารในภาษาที่ถนัดของตนจากหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลางได้หรือไม่
ได้ค่ะ/ครับ! ในกรณีส่วนใหญ่ ทุกคนยังคงมีสิทธิตามกฎหมายในการขอความช่วยเหลือด้านภาษาจากโปรแกรมและบริการที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลาง ซึ่งอาจรวมถึงการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ภาษาเดียวกับตน การทำงานร่วมกับล่ามที่มีคุณสมบัติ และ/หรือการรับเอกสารที่แปลแล้ว ทรัพยากรเช่น I Speak Cards ยังสามารถช่วยให้ประชาชนระบุภาษาหลักของตนและขอรับบริการความช่วยเหลือด้านภาษาได้อีกด้วย
บุคคลควรทำอย่างไรหากถูกปฏิเสธการเข้าถึงบริการด้านภาษาจากหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลาง
หากบุคคลใดพยายามเข้าถึงบริการโดยหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลาง แต่ถูกปฏิเสธไม่ได้รับบริการล่ามหรือเอกสารที่แปลเป็นภาษาที่ถนัดของตน บุคคลนั้นควรขอความช่วยเหลือจากผู้ให้บริการด้านกฎหมายทันที